ผมตื่นงัวเงียรับโทรศัพท์ นัดให้ผมไปสัมภาษณ์งานวันจันทร์ตอนเช้าผมถามรายละเอียดการเดินทางกับที่พักนิดหน่อย “ที่พักตรึมค่ะน้อง” เสียงเดียวที่ทำให้ผมตัดสินใจว่ายังไงก็ต้องไปสัมภาษณ์แม้ว่าเช้านัดผมมีนัดสัมภาษณ์งานที่บริษัทยาแถวดินแดง
ผมมาที่ชลบุรี เราคุยกันไม่นาน พี่เขาให้ผมตัดสินใจเดี๋ยวนั้นว่าโอเคไหม ใจผมโอเคไปแล้ว ก็นี่บริษัทฯ ที่ผมต้องการไง ผมโทร.ปรึกษาปลานิดหน่อยก่อนตอบตกลง และพี่เขาให้เริ่มงานในวันพฤหัสนี้เลย (ผมขอเงินเดือนไปต่ำมากก็กลัวว่าเขาจะไม่เอาอ่ะ) … ผมได้อยู่ต่างจังหวัด ผมได้อยู่ใกล้ทะเล ชีวิตช่างน่ามีความสุขจริงๆ … แต่หารู้ไม่สิ่งที่ผมอยากได้เหล่านี้ มันก็มีราคาที่ต้องจ่ายเหมือนกัน
บริษัทมีพนักงาน 360 กว่าคน ส่วนใหญ่เป็นพนักงานในสายการผลิต มีพนักงาน office กับผู้บริหารอยู่ประมาณ 50 กว่าคน ชีวิตเด็กใหม่ที่นี่ไม่มีอะไรยาก พี่ๆ ช่างเอาอกเอาใจเหลือเกิน เดี๋ยวพาไปกินนู่นกินนี่ พาไปเที่ยว ซื้อนี่มาฝาก ซื้อนั่นมาให้กิน … อย่าแปลกใจที่สภาพผม ณ ปัจจุบัน มีน้ำหนักตัวต่างจากตอนเรียนลิบลับ
ผมมาช่วงที่มีคนญี่ปุ่นจากบริษัทในกลุ่มมาเก็บ requirement เพื่อเขียน ERP ตัวใหม่พอดี ผมไม่ได้รู้เรื่องอะไรกับเขาหรอกก็เพิ่งเริ่มงานได้ 2 วัน และคุยเรื่อง process งานล้วนๆ ผมให้ความเห็นทางด้านเทคนิคได้บ้าง รวมถึงติงเขาไปด้วยว่าทำไมไปเขียน VBA บน Access อย่างนั้นล่ะ ทำไมไม่ใช้ภาษาโปรแกรมมิ่งที่มันเขียน OO อย่าง C#, JAVA, DELPHI มันน่าจะดูแลละจัดการให้มีประสิทธิภาพได้มากกว่า … แต่ดูเหมือนไม่มีใครใส่ใจเสียงเล็กๆ นี้เลย
โปรแกรมที่ใช้งานในบริษัทส่วนใหญ่เป็น COBOL แต่ผมก็ได้แต่นั่งอ่าน Source Code เพราะยังไม่เข้าใจ Business Process เท่าไหร่ ดังนั้นงานผมแทนที่จะได้เขียนโปรแกรมอย่างมันมือ ก็กลายเป็นว่าต้องช่วยเป็น Help Desk ไปด้วย ก็เนื่องจากบริษัทมี IT แค่ 2 คน และผมก็ยังช่วยอะไรเรื่องโปรแกรมได้ไม่มาก
ผมก็เลยจำเป็นต้องหางานสนุกๆ ทำแล้วหล่ะ
IT ในบริษัทมี 2 คนฝังตัวอยู่ในแผนก HR ดังนั้น 1-2 เดือนที่ผ่านมาผมก็ได้เห็นความยากลำบากของพี่ๆ ในการทำเงินเดือนเหลือเกิน แม้ว่าบริษัทจะมี Software สำเร็จรูปที่เพิ่งซื้อมาเมื่อต้นปี แต่ก็ดูเหมือนไม่ได้ช่วยลดภาระงานเลย เงินเดือนออกทุกวันที่ 25 วันที่ 1 เขาก็ต้องเริ่มทำเงินเดือน Check Attendance กันแล้ว ปัญหาของการมีพนักงาน 360 คนก็คือ HR จะต้องเปรียบเทียบเวลารูดบัตรที่ได้มาจากโปรแกรม Payroll กับเอกสารการขอ OT ว่าขอโอที เซ็นชื่อมาแล้วได้อยู่ทำโอทีไหม หรือขอไว้แล้วกลับบ้านเฉยๆ ใครไม่รูดบัตรบ้าง เขียนใบลาหรือยัง? ซึ่งข้อมูลรูดบัตรวันนึงจะมีประมาณ 360 รายการ เอสารการขอโอทีอีกหลายสิบใบ โปรแกรมแทบจะมีหน้าที่แค่พิมพ์สลิป กับพิมพ์สรุปเท่านั้น
กระบวนการทั้งหมด ตั้งแต่เริ่มทำจนเสร็จสิ้นใช้เวลาเกือบๆ 15 วัน ใช้คน 3 คน ซึ่งบางวันบางคนอาจจะต้องนอนค้างที่บริษัทกันด้วย
ผมคิดว่าผมน่าจะช่วยพวกพี่ๆ เขาเรื่องนี้ได้ … ก็เลยเสนอไอเดียออกไป
ผมจำเป็นต้อง Hack ระบบเงินเดือน ทำ Decompile บ้าง Reverse Engineering บ้าง Sniff ข้อมูลบ้าง เพื่อให้เข้าใจการทำงานของ Software เงินเดือนอันนั้น แล้วก็เขียนโปรแกรมขึ้นมาใหม่เพื่อทำงานร่วมกับมัน เขียน Web OT Request ทำให้ข้อมูลมันไม่ไปอยู่แต่ในกระดาษผมจะได้เอามันมาตรวจสอบและ Matching กันได้ และผมเขียนมันด้วยภาษาโปรแกรมใหม่ที่ผมไม่เคยเขียนมาก่อนเลยคือ VB.NET 2002
ผมทำบ้างหยุดบ้างประมาณ 6 เดือน งานส่วนแรกก็เสร็จ ลดเวลาการทำงานของพวกเขาจาก 15 วันและใช้ 3 คน เหลือเพียง 2-3 วันและใช้คนคนเดียว นับว่าเป็นผลงานแรกที่คุ้มค่ากับการเพียรพยายามเจาะระบบจริงๆ นับจากนั้นโปรแกรมฯ ถูกต่อยอดขึ้นไปเรื่อยๆ และมันกลายเป็นงานหลักของผมไปเลยนับจากนั้น
ในช่วงต้นของปีแรกนั้นผมสนุกกับงานตัวเองมาก แต่ไม่มีใครคุยเรื่องเทคโนโลยีกับผมเลย นอกจากการเขียนโปรแกรมภาษาใหม่อย่าง VB.NET แล้ว ผมแทบจะไม่ได้เรียนรู้เรื่องคอมฯ ส่วนอื่นๆ เท่าไหร่ คนที่นี่เขาไม่ได้บ้าคอมฯ นี่นา ชลบุรีฯ ก็ไม่มีห้างอย่างพันธุ์ทิพย์ให้เดินเล่นซะด้วย ช่วงปลายๆ ปีก็เลยเกิดอาการนอยขึ้นนิดหน่อย รวมถึงพอเราเจาะระบบเงินเดือนได้เราก็กลายเป็น 1 ใน 2 คนที่รู้เงินเดือนของคนทั้งบริษัท นั่นทำให้อาการนอยหนักขึ้นเนื่องจากมันกลายเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบและด้วยหลักความเป็นมนุษย์แล้วผมจึงไม่สามารถที่จะต่อรองขอเพิ่มเงินเดือนตัวเองได้ แม้ว่าตอนเข้ามาจะต่ำเตี้ยเรี่ยดินขนาดไหนก็ตาม
มีงานใหม่เสนอเข้ามาคือที่ UBC ทำงานที่ตึก Tipco ผมต้องเลือกว่าจะกลับไปใช้ชีวิตกรุงเทพฯ ที่เงินเดือนมากกว่าเดิมอีกหลายพัน และเป็นบริษัทที่ทุกคนรู้จักกันดี หรืออยู่ที่เดิม ชลบุรี … ทะเล … แต่คงไม่ต้องบอกใช่ไหมว่าผมเลือกอะไร
แม้ว่าผมตัดสินใจอยู่ต่อ แต่อาการนอยก็ไม่หายไปไหน … จนมีวันนึงที่ผมต้องกลับไปสถาบันฯ (ตอนนั้น ม.พระจอมเกล้าพระนครเหนือ ยังเป็นสถาบันเทคโนโลยีอยู่) เพื่อไปประกวดงานนวัตกรรม ได้พบกับ อ.เอ้ อีกครั้ง (อ.เอ้ เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาพวกเราตลอด 4 ปี แถมพ่วงดีกรีเป็นรุ่นพี่เราด้วย ผมว่า อ.เอ้ คงจำรุ่นสุดแสบของเราไม่ลืมเลยหล่ะ) พวกเราก็มักจะได้คำแนะนำดีๆ ในการเรียนและการใช้ชีวิตเสมอ … ครั้งนี้ก็เช่นกัน
อ.เอ้ พูดมาประโยคนึงราวกับเสกมนต์ใส่ผม
“งานดีดี เพื่อนร่วมงานดีดี หายากกว่างานที่เงินดีดีนะ….”
เท่านั้นแหล่ะครับ …. อาการนอยหายเป็นปลิดทิ้ง