Uncategorized

Jenkins CI

เสาร์-อาทิตย์ที่ผ่านมาผมลงเรียน CI ที่จัดโดย สยามชำนาญกิจ เจ้าเก่า งานนี้สอนโดยพี่ปุ๋ยกับพี่บอยโดยมีพี่รุ่งมาช่วยด้วยในวันแรก

เนื้อหาตลอดสองวันไม่ลงลึกนัก แต่โครตเยอะถ้าให้ไล่ดูก็

JAVA
MAVEN
PYTHON
JENKINS
SONAR
ROBOT FRAMWORK
COBERTURA
HEROKU

ฯลฯ

ลองเล่นแล้วน่าสนุกดี คงต้องกลับมาลงลึกในรายละเอียดอีกพอสมควรและลองเอาไปใช้งานจริงๆ บ้าง 🙂

Postgresql

Damaged Postgresql Cluster

หลังจากวันก่อนที่อยู่ดีๆ FC Disk บน SAN ก็ถูก mark ว่า removed แบบไม่ทันตั้งตัวเล่นเอา postgresql database พังไปเลย ถ้าไล่ดู log ก็ฟ้องประมาณนี้

ERROR:  invalid page header in block 5869177 of relation base/17291/17420

ใน Log มี error แบบนี้เยอะมาก เลยไม่ได้เข้าไปวิเคราะห์ว่าเกิดปัญหาตรงส่วนไหนบ้าง sequence หรือ index หรือ table พังกันแน่

ก็เลยคิดว่าเอา data ออกมาไว้ในที่ปลอดภัยก่อนดีกว่า โชคไม่ร้ายเกินไปนักที่สามารถ dump ข้อมูลออกมาได้อย่างไม่มีปัญหา ก็เลยคิดว่าไหนๆ ก็เอาข้อมูลออกมาได้แล้วก็สร้าง postgresql cluster ใหม่แล้ว restore data ใหม่เลยดีกว่า

ปรากฎว่าตอน restore มันก็ฟ้องว่าไม่สามารถสร้าง unique index (primary key) ได้ 7 ตารางไล่เข้าไปดูก็พบว่าปัญหาเกิดจากช่วงที่มันบอกว่า HDD  ถูก removed นั่นแหล่ะ sequence ส่งตัวเลขซ้ำออกมาทำให้ตารางมี key ที่ซ้ำกัน

ถึงตอนนี้ก็ยังไม่หายมึน…

Information Security

IBM Storage DS5020 Malfunction

ตั้งแต่เราโดนไล่ที่ต้องย้ายห้อง Server ขึ้นมาไว้บนชั้น 2 เราเจอปัญหา HDD พังบ่อยมาก น่าจะ 3 ลูกแล้วในรอบ 4 เดือน เมื่อวันพฤหัสก็เป็นคราวของ SATA ตัวนึงที่เป็นสมาชิกของ RAID ชุดนึงบน SAN อย่างที่บอก เราใช้ IBM DS5020 และแบ่ง Disk เป็น 2 Array เราเรียกมันว่า FC_ARRAY และ SATA_ARRAY และคราวนี้ DISK ที่มีปัญหาก็อยู่ใน SATA_ARRAY

เรื่องราวความปวดหัวเริ่มต้นเมื่อบ่ายวันพฤหัส เมื่อเราให้น้องในทีมเปลี่ยน SATA Disk ที่พังออกแล้วเอาตัวใหม่ใส่เข้าไปแทน แป๊บเดียวน้องก็เปิดประตูทำหน้าตาตื่นมาแล้วก็ตะโกนบอกพวกเราว่า “พี่ๆ!!! มันแดงไปหมดเลยพี่”

ถ้าเป็นหนัง กล้องคงต้องจับที่หน้าผมกับเพื่อนแล้วทำภาพสโลว์เวลามองผ่านกระจกเพื่อดูไฟสถานะ แล้วอุทานออกมาอย่างดังว่า “ฉิบหายแล้ว!!”

ภาพแรกที่เราเห็นคือไฟสถานะสีส้ม ติดพรึบ 5-6 ดวง ซึ่งผมเองก็ไม่เคยเจออะไรที่น่าตะลึงพรึงเพริดแบบนี้มาก่อน แล้วที่ใจหายที่สุดก็คือ

ไฟแม่มไปติดที่ FC_ARRAY!!

นั่นเรียกว่างานเข้าของจริง เพราะบน FC_ARRAY เราใช้เก็บ ERP DATABASE และ PRODUCTION DATABASE นั่นทำให้ระบบหลักของเราหยุดชะงักไปโดยปริยาย

กวาดดู Log อย่างรวดเร็วก็พบว่าพอเราเสียบ Disk ลูกใหม่เข้าไปปุ๊บ ซึ่งมันเป็น SATA และ Bay นั้นก็ถูก Assign ให้อยู่ใน SATA_ARRAY ไอ้เจ้า Disk Monitoring ของ IBM มันก็ไปไล่ Mark FC Disk ทีละตัวให้มีสถานะเป็น REMOVED แบบไม่ได้ร้องขอ

มึนกันอยู่นานหล่ะว่ามันเกิดอะไรขึ้น (ถึงวันนี้ ตอนนี้เราก็ยังไม่รู้สาเหตุ) แต่ที่แน่ๆ เราไม่ได้ดึงออกกันเองแน่ๆ เพราะ FC Disk 5 ลูกมันถูกดึงออกทั้งหมดโดยคนคนเดียวภายใน 1 วินาทีไม่ได้

หลังจากทำให้ FC_ARRAY กลับมาทำงานได้อีกครั้ง ก็อย่าคิดนะครับ ว่าวิกฤตนี้ได้ผ่านพ้นไปแล้ว …. ยัง … ยัง… นี่มันเป็นแค่การเริ่มต้น

เรื่องราวหลังจากนั้นคือ  ERP DATABASE และ PRODUCTION DATABASE พัง เนื่องจาก Disk ถูก Removed แบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย คล้ายๆ Improper shutdown ที่อยู่ดีๆ ก็ไปดึงปลั๊กเครื่อง Server ออกนั่นแหล่ะ

ชีวิตสองวันนี้เลยไม่เป็นอันทำอย่างอื่นเลย :~~(

Book

รหัสลัดอัจฉริยะ The Talent Code

 

 

อย่าไปเชื่อชื่อหนังสือมากเนื้อหาใน “รหัสลัดอัฉจริยะ” เล่มนี้มันไม่ได้มีอะไรที่ใกล้เคียงกับคำว่า “ลัด” เลย

1390534589

 

แดเนียล คอยล์ ได้เล่าถึงงานวิจัยของอีริคสันที่บอกว่าคนที่ประสบความสำเร็จระดับโลกนั้นล้วนผ่านการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง ล้ำลึก สม่ำเสมอมาแล้วไม่ต่ำกว่า 10,000 ชั่วโมงทั้งสิ้น

เขาพบว่าไมอีลินเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้คนเหล่านี้สามารถทำในสิ่งที่แตกต่างหรือเก่งกว่าคนทั่วไป เดิมทีนั้นเราเชื่อว่าใครที่มีเซลล์สมองมากกว่าจะเก่งและฉลาดกว่า งานวิจัยทางประสาทวิทยาเมื่อไม่นานนี้มันไม่บอกบอกแบบนั้น  ไมอีลินเปรียบเหมือนฉนวนห่อหุ้มใยประสาท ยิ่งถ้ามีไมอีลินห่อหุ้มมากขึ้นก็เหมือนคุณมีสายส่ง Network ขนาดใหญ่ นั่นหมายความว่าคุณจะส่งข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำนั่นเอง

การฝึกฝนอย่างล้ำลึกจะทำให้ใยประสาทส่วนนั้นมีไมอีลินมาห่อหุ้มมากขึ้น และเราสามารถฝึกฝนอย่างล้ำลึกได้โดยใช้กฎ 3 ข้อคือ

  1. การรวมหน่วย – ทำให้รู้จักภาพรวมทั้งหมด  แล้วแยกทักษะออกเป็นหน่วยเล็กๆ  จากนั้นก็ทำทำช้าช้าโดยใส่ใจกับความผิดพลาดต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น
  2. ทำซ้ำ – มันคือการฝึกฝนแต่การฝึกที่มากเกินไปก็อาจจะไม่ได้ผลดีที่สุดเสมอไป ที่ดีที่สุดคือเราต้องหาจุดกลมกล่อมของเราให้เจอ
  3. ลับคมประสาทสัมผัส – ถ้าอยากหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาด เราต้องฝึกประสาทสัมผัสให้รู้สึกถึงมันได้ในทันทีเสียก่อน

และการที่จะทำให้ใครสักคนนึงสามารถฝึกอย่างล้ำลึกได้ต่อเนื่องยาวนานไม่ต่ำกว่า 10,000 ชั่วโมงนั้น มันจะต้องมีองค์ประกอบอีกอันที่เราเรียกมันว่า “สิ่งเร้า” ที่ช่วยเป็นแรงผลักสำคัญไม่ว่าจะเป็น การที่เขาอยากที่จะเป็นแบบไอดอลของเขา การตื่นตัวเมื่ออยู่ในสภาวะที่ไม่มั่นคง หรือแม้แต่คำพูดที่ให้ความสำคัญกับความพยายาม

อ่ะ แล้วนอกจากนั้นแล้ว องค์ประกอบที่สำคัญอีกอันคือการสอนจากปรมจารย์

คอยล์ชี้ให้เห็นว่าการฝึกสอนจากปรมจารย์แต่ละคนล้วนแต่มีแบบแผนช่วยให้ร่างกายได้ฝึกฝนและสร้างไมอีลินเพิ่มขึ้นเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการสอนของฮันส์ เจนเซน ครูสอนเชลโลที่เก่งที่สุดในโลก หรือวูดเดน ยอดโค้ชของ UCLA

สิ่งที่เจนเซนและวูดเดนทำคือเขาอ่านลูกศิษย์ของเขาได้ขาดว่ามีปัญหาเรื่องอะไร และให้คำแนะนำตรงๆ อย่างเฉพาะเจาะจงเพื่อแก้ไขความผิดพลาดนั้น  วูดเดนบอกกับลูกทีมเขาว่า พวกเจ้าแตกต่างกัน รูปร่าง ความคิด ภูมิหลัง ทักษะ ก็ไม่เหมือนกัน พวกเจ้าก็ควรจะได้รับคำแนะนำ คำสอน ความใส่ใจที่แตกต่างกัน  ทั้งทีก็เพื่อประโยชน์สูงสุดของทุกคน เวลาที่วูดเดนโค้ช วูดเดนใช้คำพูดสั้นๆ ที่เฉพาะเจาะจง สาธิตให้ดูว่าที่ถูกต้องคืออะไร ที่ผิดคืออะไร และควรต้องปรับปรุงยังไง

 

อัจฉริยะทุกคน ล้วนถูกฝึกฝน เคี่ยวกรำกันอย่างนัก …. ไม่ได้เก่งกันมาตั้งแต่เกิดสักหน่อย … และก็ไม่มีทางลัดซะด้วย

 

 

 

11/11

11/11 ตอน พังหมด

แม้ว่าตอนนี้เราจะมีโปรแกรมเมอร์ทั้งหมด 3 คน แต่โปรแกรมเมอร์ก็มีหน้าที่หลักคือเขียนโปรแกรมครับ ไม่มีใครดูแลเรื่อง Infrastructure เลย ทำให้ IT Infrastructure ของบริษัทมันจัดมาก …. จัดว่าแย่มากกก

ลองนึกถึง Server ที่เป็น Tower  2 ตัว HP ML350 กับ ML 370 โลกมันย่างเข้าปี 2005 แล้ว แต่ Server ผมยังเป็น NT4 ที่เป็นทั้ง Domain Controller , DNS Server , Mail Server , Proxy Server, Database Server ข้อมูลอยู่บน SCSI Disk ที่ไม่ได้ทำ RAID ไม่มีการบำรุงรักษา ไม่มีการ Backup และไม่มีใครอยากเข้าไปแตะเพราะกลัวมันพังและอีกตัวเป็น Linux Redhat 6.2 ที่ เก็บโปรแกรม COBOL อยู่ ซึ่งตอนนี้ก็เหลือบัญชีเพียงแผนกเดียวที่ใช้ แล้วอย่าถามเรื่อง Maintenance Agreement Contract แค่ภาวนาให้มันไม่มีปัญหาก็พอ

มีอยู่วันนึง Harddisk SCSI ลูกนึงเสีย และเป็นลูกที่เก็บ Data ของ Exchange ข้อมูลเมล์ที่อยู่บน Server หายไป ผมจนด้วยเกล้า พึ่งวิทยาศาสตร์ไม่ได้ก็ต้องพึ่งปาฏิหารย์หล่ะ ผมเอา Harddisk ยัดเข้าตู้เย็นเป็นเวลาครึ่งชั่วโมง แล้วเอามันมาเสียบใหม่ โชคดีที่มันกลับมาอ่านได้อีกครั้ง แล้วเราก็ copy ข้อมูลออกจาก Harddisk ตัวนี้ไป ไม่กล้าคิดว่าถ้าเราเอาข้อมูลออกมาจาก Harddisk ลูกนี้ไม่ได้ บริษัทจะเสียหายขนาดไหน และเราจะโดนสับเละตุ้มเป๊ะเพียงใด

หรือแม้แต่วันดีคืนดี Network ทั้งบริษัทก็ใช้ไม่ได้ เพราะมีคนไปจิ้มสาย LAN เข้า Switch แล้วมันเกิด Loop กันระหว่าง switch 2 ตัว เราไม่ได้เจอเรื่องนี้แค่ครั้งสองครั้ง เราเจอบ่อยกว่านั้นเยอะ

การทำงานแบบลูกทุ่งตามมีตามเกิดอยากทำอะไรก็ทำส่งผลเสียหายมากกว่าที่คิด มีครั้งนึงที่ผม Migrate Postgresql จาก Ver.7.2 ไปเป็น 8.0 พอ restore data เรียบร้อยปรากฎว่า user ใช้งานไม่ได้ นั่นเป็นเพราะ Code เดิมที่เขาเขียนไว้แย่มาก และที่แย่กว่าคือมันไม่มีการทดสอบที่เพียงพอก่อนการทำ Migration กว่าเราจะเข้าใจว่าปัญหาเกิดจากอะไร และแก้ปัญหานั้นได้ ไอ้เจ้า ERP ก็ร่วงไปแล้ว 2 วันเต็มๆ โดยที่ผมเองก็ไม่ได้หลับไม่ได้นอนด้วย ไม่ต้องนับว่ามีคนมายืนกดดันอีกกี่คน ธุรกิจเสียหายเท่าไหร่ … ไม่เจอกับตัวคงไม่หลาบจำ

นั่นเป็นที่มาว่าทำไมเปลี่ยนตัวเองจากงานโปรแกรมเมอร์สุดโปรด มาเป็น System Admin แทน

ผมเริ่มจัดการงานแรกด้วยการถอด Microsoft Proxy 2.0 ออก แล้วเอา Linux ใส่ PC เก่าๆ ทำเป็น Proxy แทน แม้ผมจะเคยแตะ Linux มาบ้าง แต่นี้เป็น Server ตัว Linux ตัวแรกที่เราตั้งขึ้นมาใช้งานจริงๆ จังๆ เรียกได้ว่างานนี้สอบผ่าน เพราะเราไม่ต้องมานั่ง Clear session ที่ Microsoft Proxy แล้วก็ยังสามารถจัดการอะไรได้อีกเยอะแยะ

ต่อมาก็ถึงคราวที่เราต้องจัดการเรื่อง Email

เราขายไอเดียผู้บริหารไปว่า เราจะใช้ Linux ตั้งเป็น Mail Server โดยที่ไม่ต้องจ่ายค่า License แล้วเราจะย้าย Email ของทุกคนมาไว้ที่นี่ ทีนี้เราก็จะไม่เจอปัญหาเข้าใช้งาน Email ไม่ได้ หรือ Harddisk บน Server เต็มจนต้องช่วยลบเมล์ออก เพียงแต่ต้องการงบประมาณในการลงทุนเรื่อง Server อย่างแพงก็ 1-2 แสน อย่างถูกก็ 4-5 หมื่น แต่เราจะได้ระบบเมล์ที่นิ่งมาก ใช้งานได้อย่างราบรื่นไปอย่างน้อย 4-5 ปี

ผู้บริหารยังรู้สึกไม่มั่นใจ เขาขอใช้ Exchange ตัวเดิม แต่ให้พนักงานคนอื่นที่จำเป็นต้องใช้ email ไปใช้ server ที่เราทำขึ้นใหม่ได้  (หึๆ อยากจะบอกท่านเหลือเกินว่า ในฐานะ IT ผมไม่ไว้วางใจไอ้ Exchange ตัวเก่านั่นเลย จะพังเมื่อไหร่ก็ไม่รู้) เราสร้าง Account ให้พนังานรายคน มีเสียงบ่นเล็กน้อย ก็เพราะยังไม่คุ้นเคยกับการต้องมานั่งคอยกด Send/Receive email แล้วก็ไม่มี Address book ให้ใช้ นั่นทำให้เราต้องสร้าง LDAP server เพื่อทำ address book สำหรับองค์กรขึนมา ส่วนเรื่องกด Send/Receive จริงๆ แล้วมันก็ตั้งเวลาได้ แค่ไม่ได้รู้ทันทีเหมือนเดิมแค่นั้นเอง การดำเนินงานเป็นไปได้สวย และ Linux ก็เป็นลูกรักของเราเสมอมาหลังจากนั้น

จากความผิดพลาด จากการละเลย จากการไม่ใส่ใจ มันส่งผลร้ายกับเราอย่างแรง แต่มันก็เป็นบทเรียนที่ดี ชี้ให้เห็นว่าเราบกพร่องตรงไหน และถ้าเราละเลยมันอีก มันจะส่งผลร้ายแรงเพียงใด ตั้งแต่วันนั้น ผมรู้สึกว่าเราไม่ใกล้เคียงกับคำว่ามืออาชีพเลย …

11/11

11/11 ตอน การมาของกระบี่มือ 1

ย่างเข้าปีที่ 2 ของการทำงาน แม้ว่าผมกับหัวหน้าจะไม่มีปัญหากันแล้ว แต่ปัญหาที่เกี่ยวกับระบบ IT มีเยอะเลย ไม่ว่าจะเป็น

  • IP ภายในองค์กรใช้เป็น 192.1.23.X/24 …
  • การต่อ Network โดยไม่คำนึงถึงความสามารถและประสิทธิภาพของอุปกรณ์ เช่น HUB มาทำเป็น Distributor แล้วก็ใช้ switch พ่วงต่อกันไปเรื่อยๆ
  • ปัญหาเรื่อง Firewall อย่างที่เล่าไปในบล็อกที่แล้ว
  • ปัญหาเรื่อง Email ที่ใช้ Exchange Server บน Windows NT4 แล้วมี License แค่ 10 License แต่มีคนใช้ Email มากถึง 50 คน แต่ละคนจะไม่มี e-mail ส่วนตัวยกเว้นผู้บริหาร เมล์จะเป็นชื่อของแผนกและทุกคนในแผนกจะใช้ร่วมกัน

อย่างปัญหาเรื่อง email นี่น่ารำคาญมาก ลองนึกถึงวันที่คนใช้งานเยอะๆ อย่างช่วงเช้าวันจันทร์ แล้วจำนวน connection มันเกินจำนวน License ที่มี แล้วประธานบริษัทเข้าเมล์ไม่ได้ เราต้องนั่งเช็คว่าใครใช้อยู่บ้าง แล้วโทร.ไปขอให้เขาช่วยปิด outlook หน่อย ท่านประธานจะใช้ เป็นอย่างนี้ทุกวันตลอดปีกว่าๆ นั่นแหล่ะ

ปัญหาเรื่องโปรแกรมก็มี ฝ่ายวางแผนการผลิตกับบัญชีก็ต้องมี IT ประกบอยู่เสมอเพราะข้อมูลมีปัญหาประจำ และต้องให้ IT หาปัญหาและแก้ไขโปรแกรมตลอดแก้เคสนู้นก็สร้างปัญหาเคสนี้ไม่จบไม่สิ้น ไม่น่าเชื่อใช่ไหมครับ … แต่มันเป็นอย่างนี้จริงๆ นั่นแหล่ะ

งานที่ IT จะต้องรับผิดชอบมันก็เลยเพิ่มขึ้นอยู่เรื่อยๆ เพราะปัญหาไม่ได้ถูกแก้ และเราก็ต้องรับ Programmer เพิ่มมาอีก 1 คน ซึ่งการมาของน้องใหม่ทำให้ผมเปลี่ยนจากน้องเล็กสุดของแผนก ไปเป็นคนที่ต้องโค้ชน้องแทน

ผมคิดว่าน้องกับผมก็เห็นปัญหาเหมือนๆ กัน แต่เราเห็นทุกคนดูนิ่งเฉยกับปัญหานั้น ราวกับว่าชินแล้ว “มันต้องเป็นแบบนี้แหล่ะ และมันเป็นเรื่องปกติ”  น้องดูยังไม่เชี่ยวชาญเรื่องคอมฯ เท่าไหร่ เมื่อมีปัญหาผมจะตามประกบ อธิบายถึงสภาพปัญหา ทฤษฏี และการวิเคราะห์ เช่น User เล่น Internet ไม่ได้ ผมก็จะมีโอกาสอธิบายว่า Web Browser มันต้องทำงานยังไง มี Request กับ Response อย่างไร การวิเคราะห์ก็อธิบายเรื่อง TCP Layer / OSI Layer แล้วค้นหาปัญหา Confirm กันทีละ Layer เพื่อชี้ให้ได้ว่าปัญหาอยู่ตรงไหน แล้วค่อยทำการแก้ไข ซึ่งน้องเขาก็เรียนมาทางด้าน Com. Sci. โดยตรง และก็เข้าใจประเด็นได้ไม่ยาก

หรือแม้กระทั่งการเขียนโปรแกรมมีโปรเจคนึงที่เขาต้องเขียน Web App ผมเลือกที่จะให้น้องเขาลองใช้ ASP.NET โดยที่น้องเขาก็ไม่เคยเขียนมาก่อน แต่เธอไม่เคยกลัวที่จะเริ่มอะไรใหม่ๆ เลย ซึ่งเราก็คลำทางไปด้วยกันจนงานเสร็จนั่นแหล่ะ …

จากนั้นไม่นานหัวหน้าผมก็ลาออก

นั่นทำให้เราสองคนต้องรับบทหนักกว่าเดิม ERP ที่เราไม่เคยได้แตะมัน ถึงเวลาที่เราจะต้องลงไปรับผิดชอบเต็มตัว ปัญหามากมายที่มาจากบัญชีและฝ่ายควบคุมการผลิตที่มีมาเกือบทุกวัน … เล่นเอาเรากระดิกตัวไปไหนไม่ได้เลยหล่ะ

เรานั่งไล่อ่าน Code โปรแกรม ที่ถูกเขียนโดยคนญี่ปุ่นแล้วถูกแก้ไขหลายรอบโดยหัวหน้า แรกๆ ดูเหมือนผมจะเป็นคนนำเพื่ออธิบายว่าโปรแกรมมันทำงานยังไง คนเขียนเขากำลังคิดอะไรอยู่ตอนเขียนบรรทัดนี้ แล้วปัญหาเกิดขึ้นตรงไหน แล้วเราจะป้องกันให้ไม่เกิดปัญหาอีกอย่างไร

ไม่นานผมรู้สึกตัวอีกที … ดูเหมือนเธอจะบินได้ฉิวเลยหล่ะ … เธอทำงานละเอียดกว่า หลายครั้งที่ผมทำพลาด … แต่เธอแทบไม่เคยเลย (หลังๆ นี้เธอไม่ยอมให้ผมไปแตะงานเธอเท่าไหร่ ขอทำเองดีกว่า … นั่นไง … เธอชักไม่ไว้ใจผมแล้วอ่ะเด่ะ 555)

เราทำงานด้วยกันแบบนี้ไม่นานก็แทบไม่มีปัญหาจากฝ่ายควบคุมการผลิตมาหาเราอีก … เล่นเอาคิดถึงพี่ฝ่ายควบคุมการผลิตกันเลยหล่ะ พักนี้ไม่ค่อยเจอกันเลยนะ

ยิ่งเจอปัญหาเธอยิ่งเก่ง ยิ่งเจอปัญหาเธอยิ่งแกร่งขึ้น เธอใช้เวลาไม่นาน ก็ยึดตำแหน่งโปรแกรมเมอร์มือวางอันดับ 1 ของบริษัทฯ ไปได้อย่างง่ายดาย … ถึงเวลาที่ผมต้องหางานอื่นทำแล้วหล่ะ …

Book

Change Anything ทนไปทำไม

 

 

 

สาบานได้ว่าผมไม่ชอบชื่อหนังสือเล่มนี้เลย “ทนไปทำไม?” เพราะจริงๆ แล้วมันไม่ได้สื่อถึงเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้เท่าไหร่

snapshot177

 

โดยหลักใหญ่ใจความแล้วหนังสือเล่มนี้พูดถึงหนทางที่คุณจะสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเอง นำสิ่งดีๆเข้ามาในชีวิต หรือทำสิ่งดีๆ

มีหลายครั้งที่เราอยากเปลี่ยนตัวเอง เช่น เลิกบุหรี่ ลดความอ้วน เลิกเป็นหนี้บัตรเครดิต พัฒนาความสามารถเพื่อความก้าวหน้าในอาชีพการงาน แต่พอเราทำไปสักพัก สักพัก …. สักพัก …. แล้วเราก็ล้มเลิก ด้วยสิ่งยั่วยุต่างๆ เช่น เพื่อนชวนไปกินข้าวเย็น  เจอของโปรด  หรือแม้กระทั่งเล่นกีฬามาเหนื่อยๆ จนทำให้เราต้องละเมิดกฎหรือแผนการที่เราวางไว้สำหรับการลดความอ้วน

หรือบางคนอยากจะเลิกบุหรี่ แบบหักดิบตั้งใจเลยว่าจะไม่สูบ เอาบุหรี่ที่มีให้เพื่อนไปหมด ไฟแช็กก็ไม่พก วันแรกๆ ก็ดูไม่มีปัญหาอะไร แต่พอนานเข้า ช่วงพักกลางวันไปยืนคุยกับเพื่อนกลุ่มเดิมที่สูบบุหรี่กันหมด … แล้วก็บอกกับเราว่าจะทดหักดิบไปทำไมกัน แค่ลดปริมาณค่อยๆ ลดก็ได้  แล้วมวนแรก็มา  ตามด้วยมวนที่สอง … ก็สุดท้ายก็เลิกบุหรี่ไม่ได้นี่แหล่ะ

Kerry Patterson, Joseph Grenny, David Maxfield, Ron MacMillan และ Al Switzler บอกเราว่า มีสิ่งยั่วยุมากมายที่ถาโถมมาให้เรากลับไปใช้ชีวิตแบบเดิม กลับไปใช้พฤติกรรมเดิม ถ้าเราใช้เพียงวิธีการใดวิธีการหนึ่งก็ยากที่จะต่อกรกับสิ่งยั่วยุนั้นได้

Change Anything แนะนำให้เราใช้แหล่งพลังทั้ง 6 แหล่งควบคู่กัน ใช้มันพร้อมๆ กันนี่แหล่ะ เพื่อช่วยมันต่อกร ทำลายล้างสิ่งที่จะทำให้เรากลับไปใช้พฤติกรรมเดิมๆ เหล่านั้น

  • Power 1 – รักในสิ่งที่คุณเกลียด
  • Power 2 – ทำในสิ่งที่คุณทำไม่ได้
  • Power 3, 4 – เปลี่ยนผู้สมคบคิดให้เป็นเพื่อน
  • Power 5 – รื้อโครงสร้างทางการเงิน
  • Power 6 – ควบคุมพื้นที่ของคุณ

รายระเอียดและคำแนะนำดีๆ หาอ่านได้ในหนังสือเล่มนี้ มันจะช่วยให้คุณสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้จริง … ถ้าคุณต้องการมัน

11/11

11/11 ตอน ห้าว..จนมีเรื่อง

หลังจากที่อาการนอยหายไปผมกลับมาโฟกัสที่งานเต็มที่ ซึ่งระบบ IT ที่นี่มีอะไรที่ต้องปรับปรุงอีกเยอะเลย

ถึงแม้ว่าจะเพิ่งเรียนจบปริญญาตรีแต่ประสบการณ์ที่ฝึกฝนด้านคอมพิวเตอร์และการเขียนโปรแกรมมาตั้งแต่ ม.1 ทำให้งานที่นี่ไม่ยากเลยสำหรับผมไม่ว่าจะเป็นเรื่อง Hardware, Programming, Network งานแล้วงานเล่าที่ต้องเป็นผมเท่านั้นในการที่จะเข้าไปวิเคราะห์ปัญหาและทำให้มันจบๆ ไปซะ นั่นทำให้ผมทนงตัวรู้สึกว่าตัวเองตัวใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และด้วยวัย 23 ปีที่กำลังห้าว ถ้าใครมาทำอะไรงี่เง่าใส่ผมผมก็จะตอบโต้แบบตาต่อตาฟันต่อฟันเลยหล่ะ … ซึ่งนั่นทำให้ผมเริ่มมีปัญหากับหัวหน้า

ผมกับหัวหน้าคุยกันน้อยมาก เนื่องจากเป็นเราแตกต่างกันแทบจะทุกอย่างและผมไม่ชอบวิธีการทำงานแบบเขาเลย ปัญหาสำหรับผมก็คือผมจะต้องตามแก้งานที่เขาทำไว้แล้วไม่ได้บอก หรือเขาเปลี่ยนบางอย่างโดยที่ไม่บอกอะไรผมเลยเช่น เขาเปลี่ยน password root ที่ server แล้วไม่บอกผม และผมต้องแก้งานด่วนเดี๋ยวนั้นโดยที่เขาไม่อยู่ อย่างที่บอกผมห้าวและคิดไปเองว่าตัวเองตัวใหญ่ ผมเลย Hack password root ซะเลย และแก้เผ็ดเล็กๆ น้อยๆ เป็นการเอาคืน

เรามีปัญหากันเงียบๆ มาตลอดแต่ครั้งที่ทำให้เราเถียงกันต่อหน้าคนอื่นคือ เมื่อมีการซื้อ Firewall มาติดตั้งใหม่ โดยที่มันรับ Concurrent ได้สูงสุดแค่ 50 concurrents เท่านั้น นั่นไม่เพียงพอต่อคนทั้งบริษัทที่มีเครื่อง Computer เกือบๆ 80 เครื่องแน่ๆ และแน่นอน ผมโดนตัดขาดเขาไม่บอกอะไรผมเลยเรื่องนี้

ปัญหาเรื่องคนใช้งาน Internet และ Email ไม่ได้มีเข้ามาทุกวันและวันละหลายครั้ง เพราะปริมาณการใช้มันเกินที่ Firewall กำหนด สิ่งที่เขาแก้ปัญหาตลอด 1 เดือน คือ Login เข้าไปใน Firewall แล้ว reset นั่นทำให้ผมโคตรหงุดหงิด … เช่นเคย ลองนึกถึงวันที่เขาไม่อยู่ User บอกว่าต้องใช้ Internet ส่งงานลูกค้าเดี๋ยวนี้ แล้วผมไม่มี password admin เข้าไป reset firewall ดูสิครับ คราวนี้ผมทำ factory reset แล้วเปลี่ยน password มันเป็นของผมซะเลยแล้วผมไม่บอกบ้าง หึ หึ … นั่นทำให้พี่เขาทนไม่ไหว แล้วว่าผมต่อหน้าคนอื่น

ข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นเพราะเราไม่คุยกัน … ใช่นั่นคือความผิดพลาดครั้งใหญ่เลยหล่ะ ไม่มีใครทำงานอย่างมีความสุขหรอกถ้าต้องทะเลาะกับเพื่อนร่วมงาน

ถึงแม้ว่าเหตุการณ์นั้นเราจะพูดเคลียร์ปัญหากันจนเข้าใจแล้ว เราทำงานกันได้ต่อโดยที่ไม่ได้มีปัญหากันทั้งบนดินและใต้ดิน แต่อย่างว่า แก้วที่แตกไปแล้ว ประสานใหม่ยังไงมันก็ยังมีรอยร้าวให้เห็นอยู่

เถียงชนะลูกค้า ชนะแล้วลูกค้าก็ไปแล้ว
เถียงชนะเพื่อนร่วมงาน ชนะแล้วความสามัคคีก็หมดแล้ว
เถียงชนะเจ้านาย ชนะแล้วก็ไม่ก้าวหน้าในหน้าที่การงานแล้ว
เถียงชนะญาติ ชนะแล้วความเป็นญาติพี่น้องหายไปแล้ว
เถียงชนะเพื่อน ชนะแล้วเพื่อนก็น้อยลงแล้ว
เถียงชนะคนรัก ชนะแล้วความรักก็จางไปแล้ว
เถียงชนะใคร ชนะคือแพ้ สู้ชนะตัวเองไม่ได้
ให้ตัวเองเข้มแข็ง เติบโต มั่นคง ถึงจะเป็นผู้ชนะที่แท้จริง

ผมรู้ว่าผมชักนิสัยไม่ดีผมควรจะต้องอ่านหนังสืออะไรที่ไม่ใช่หนังสือคอมพิวเตอร์บ้างเพื่อพัฒนาวิธีคิดและเจตคติ (คำเดิมคือทัศนคติ) และการอ่านหนังสือเรื่อง Personality Plus ก็เริ่มทำอะไรอะไรหลายๆ อย่างเปลี่ยนไป … ผมเริ่มเข้าใจมากขึ้นว่าเราจำเป็นต้องมีคนหลายๆ แบบอยู่ในโลกนะ และมองเขาในมุมที่เปลี่ยนไป

คนอะไรก็ได้
คนไม่ยอมใคร
คนเจ้าระเบียบ
คนร่าเริง

ต่างก็มีประโยชน์และทำได้ดีกว่าคนอื่นในงานที่เหมาะกับเขา

9789746903516

หัวหน้าใหญ่สอนผมว่า “แม่ทัพ … จำเป็นที่จะต้องมีอาวุธที่หลากหลาย” … ผมเห็นด้วย

11/11

11/11 ตอน ปีแรก เจาะระบบเงินเดือน

ผมตื่นงัวเงียรับโทรศัพท์ นัดให้ผมไปสัมภาษณ์งานวันจันทร์ตอนเช้าผมถามรายละเอียดการเดินทางกับที่พักนิดหน่อย “ที่พักตรึมค่ะน้อง” เสียงเดียวที่ทำให้ผมตัดสินใจว่ายังไงก็ต้องไปสัมภาษณ์แม้ว่าเช้านัดผมมีนัดสัมภาษณ์งานที่บริษัทยาแถวดินแดง

ผมมาที่ชลบุรี เราคุยกันไม่นาน พี่เขาให้ผมตัดสินใจเดี๋ยวนั้นว่าโอเคไหม ใจผมโอเคไปแล้ว ก็นี่บริษัทฯ ที่ผมต้องการไง ผมโทร.ปรึกษาปลานิดหน่อยก่อนตอบตกลง และพี่เขาให้เริ่มงานในวันพฤหัสนี้เลย (ผมขอเงินเดือนไปต่ำมากก็กลัวว่าเขาจะไม่เอาอ่ะ) … ผมได้อยู่ต่างจังหวัด ผมได้อยู่ใกล้ทะเล ชีวิตช่างน่ามีความสุขจริงๆ … แต่หารู้ไม่สิ่งที่ผมอยากได้เหล่านี้ มันก็มีราคาที่ต้องจ่ายเหมือนกัน

บริษัทมีพนักงาน 360 กว่าคน ส่วนใหญ่เป็นพนักงานในสายการผลิต มีพนักงาน office กับผู้บริหารอยู่ประมาณ 50 กว่าคน ชีวิตเด็กใหม่ที่นี่ไม่มีอะไรยาก พี่ๆ ช่างเอาอกเอาใจเหลือเกิน เดี๋ยวพาไปกินนู่นกินนี่  พาไปเที่ยว ซื้อนี่มาฝาก ซื้อนั่นมาให้กิน … อย่าแปลกใจที่สภาพผม ณ ปัจจุบัน มีน้ำหนักตัวต่างจากตอนเรียนลิบลับ

ผมมาช่วงที่มีคนญี่ปุ่นจากบริษัทในกลุ่มมาเก็บ requirement เพื่อเขียน ERP ตัวใหม่พอดี ผมไม่ได้รู้เรื่องอะไรกับเขาหรอกก็เพิ่งเริ่มงานได้ 2 วัน และคุยเรื่อง process งานล้วนๆ  ผมให้ความเห็นทางด้านเทคนิคได้บ้าง รวมถึงติงเขาไปด้วยว่าทำไมไปเขียน VBA บน Access อย่างนั้นล่ะ ทำไมไม่ใช้ภาษาโปรแกรมมิ่งที่มันเขียน OO อย่าง C#, JAVA, DELPHI มันน่าจะดูแลละจัดการให้มีประสิทธิภาพได้มากกว่า … แต่ดูเหมือนไม่มีใครใส่ใจเสียงเล็กๆ นี้เลย

โปรแกรมที่ใช้งานในบริษัทส่วนใหญ่เป็น COBOL แต่ผมก็ได้แต่นั่งอ่าน Source Code เพราะยังไม่เข้าใจ Business Process เท่าไหร่ ดังนั้นงานผมแทนที่จะได้เขียนโปรแกรมอย่างมันมือ ก็กลายเป็นว่าต้องช่วยเป็น Help Desk ไปด้วย ก็เนื่องจากบริษัทมี IT แค่ 2 คน และผมก็ยังช่วยอะไรเรื่องโปรแกรมได้ไม่มาก

ผมก็เลยจำเป็นต้องหางานสนุกๆ ทำแล้วหล่ะ

IT ในบริษัทมี 2 คนฝังตัวอยู่ในแผนก HR ดังนั้น 1-2 เดือนที่ผ่านมาผมก็ได้เห็นความยากลำบากของพี่ๆ ในการทำเงินเดือนเหลือเกิน แม้ว่าบริษัทจะมี Software สำเร็จรูปที่เพิ่งซื้อมาเมื่อต้นปี แต่ก็ดูเหมือนไม่ได้ช่วยลดภาระงานเลย เงินเดือนออกทุกวันที่ 25 วันที่ 1 เขาก็ต้องเริ่มทำเงินเดือน Check Attendance กันแล้ว ปัญหาของการมีพนักงาน 360 คนก็คือ HR จะต้องเปรียบเทียบเวลารูดบัตรที่ได้มาจากโปรแกรม Payroll กับเอกสารการขอ OT ว่าขอโอที เซ็นชื่อมาแล้วได้อยู่ทำโอทีไหม หรือขอไว้แล้วกลับบ้านเฉยๆ ใครไม่รูดบัตรบ้าง เขียนใบลาหรือยัง? ซึ่งข้อมูลรูดบัตรวันนึงจะมีประมาณ 360 รายการ เอสารการขอโอทีอีกหลายสิบใบ โปรแกรมแทบจะมีหน้าที่แค่พิมพ์สลิป กับพิมพ์สรุปเท่านั้น

กระบวนการทั้งหมด ตั้งแต่เริ่มทำจนเสร็จสิ้นใช้เวลาเกือบๆ 15 วัน ใช้คน 3 คน ซึ่งบางวันบางคนอาจจะต้องนอนค้างที่บริษัทกันด้วย

ผมคิดว่าผมน่าจะช่วยพวกพี่ๆ เขาเรื่องนี้ได้ … ก็เลยเสนอไอเดียออกไป

ผมจำเป็นต้อง Hack ระบบเงินเดือน ทำ Decompile บ้าง Reverse Engineering บ้าง Sniff ข้อมูลบ้าง เพื่อให้เข้าใจการทำงานของ Software เงินเดือนอันนั้น แล้วก็เขียนโปรแกรมขึ้นมาใหม่เพื่อทำงานร่วมกับมัน  เขียน Web OT Request ทำให้ข้อมูลมันไม่ไปอยู่แต่ในกระดาษผมจะได้เอามันมาตรวจสอบและ Matching กันได้ และผมเขียนมันด้วยภาษาโปรแกรมใหม่ที่ผมไม่เคยเขียนมาก่อนเลยคือ  VB.NET 2002

ผมทำบ้างหยุดบ้างประมาณ 6 เดือน งานส่วนแรกก็เสร็จ  ลดเวลาการทำงานของพวกเขาจาก 15 วันและใช้ 3 คน เหลือเพียง 2-3 วันและใช้คนคนเดียว นับว่าเป็นผลงานแรกที่คุ้มค่ากับการเพียรพยายามเจาะระบบจริงๆ  นับจากนั้นโปรแกรมฯ ถูกต่อยอดขึ้นไปเรื่อยๆ และมันกลายเป็นงานหลักของผมไปเลยนับจากนั้น

ในช่วงต้นของปีแรกนั้นผมสนุกกับงานตัวเองมาก แต่ไม่มีใครคุยเรื่องเทคโนโลยีกับผมเลย นอกจากการเขียนโปรแกรมภาษาใหม่อย่าง VB.NET แล้ว ผมแทบจะไม่ได้เรียนรู้เรื่องคอมฯ ส่วนอื่นๆ เท่าไหร่ คนที่นี่เขาไม่ได้บ้าคอมฯ นี่นา ชลบุรีฯ ก็ไม่มีห้างอย่างพันธุ์ทิพย์ให้เดินเล่นซะด้วย ช่วงปลายๆ ปีก็เลยเกิดอาการนอยขึ้นนิดหน่อย รวมถึงพอเราเจาะระบบเงินเดือนได้เราก็กลายเป็น 1 ใน 2 คนที่รู้เงินเดือนของคนทั้งบริษัท นั่นทำให้อาการนอยหนักขึ้นเนื่องจากมันกลายเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบและด้วยหลักความเป็นมนุษย์แล้วผมจึงไม่สามารถที่จะต่อรองขอเพิ่มเงินเดือนตัวเองได้ แม้ว่าตอนเข้ามาจะต่ำเตี้ยเรี่ยดินขนาดไหนก็ตาม

มีงานใหม่เสนอเข้ามาคือที่ UBC ทำงานที่ตึก Tipco ผมต้องเลือกว่าจะกลับไปใช้ชีวิตกรุงเทพฯ ที่เงินเดือนมากกว่าเดิมอีกหลายพัน และเป็นบริษัทที่ทุกคนรู้จักกันดี หรืออยู่ที่เดิม ชลบุรี … ทะเล … แต่คงไม่ต้องบอกใช่ไหมว่าผมเลือกอะไร

แม้ว่าผมตัดสินใจอยู่ต่อ แต่อาการนอยก็ไม่หายไปไหน … จนมีวันนึงที่ผมต้องกลับไปสถาบันฯ (ตอนนั้น ม.พระจอมเกล้าพระนครเหนือ ยังเป็นสถาบันเทคโนโลยีอยู่) เพื่อไปประกวดงานนวัตกรรม ได้พบกับ อ.เอ้ อีกครั้ง (อ.เอ้ เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาพวกเราตลอด 4 ปี แถมพ่วงดีกรีเป็นรุ่นพี่เราด้วย ผมว่า อ.เอ้ คงจำรุ่นสุดแสบของเราไม่ลืมเลยหล่ะ) พวกเราก็มักจะได้คำแนะนำดีๆ ในการเรียนและการใช้ชีวิตเสมอ … ครั้งนี้ก็เช่นกัน

อ.เอ้ พูดมาประโยคนึงราวกับเสกมนต์ใส่ผม

งานดีดี เพื่อนร่วมงานดีดี หายากกว่างานที่เงินดีดีนะ….

เท่านั้นแหล่ะครับ …. อาการนอยหายเป็นปลิดทิ้ง

11/11

11/11 จุดประกาย

“เห้ยแก  พรุ่งนี้เจอกันที่เยาฮันกี่โมง”
“สัก 9 โมงครึ่งมะ เขาน่าจะเปิดตอน 10 โมง เอา Thumb Drive กับเอกสารไปให้พร้อมแล้วกัน”
“เออ กูอัดรูปไว้ 2 โหล ไปซีรอกเอกสารเพิ่มอีกหน่อยน่าจะพอ”
“อืมม โอเค งั้นเจอกันพรุ่งนี้เช้า”

ชีวิตนักศึกษาปี 4 ที่เรียนจบใหม่ๆ ก็งี้แหล่ะครับ มีงาน Job Fair ที่ไหนเราก็ไปกันหมด หมดค่าถ่ายเอกสารกันไปหลายร้อย ส่งจดหมายสมัครงานไปกันคนละหลายสิบที่ นี่ขนาดเลือกเอาเฉพาะงานที่ตัวเองสนใจนะครับ เพราะเราก็ไม่รู้หรอกว่าบริษัทไหนจะสนใจเราบ้างก็หว่านแหกันเข้าไป โดยเฉพาะคนที่เรียนมาไม่ตรงกับสายงานที่ต้องการอย่างผม

ผมอยากเป็นโปรแกรมเมอร์ตั้งแต่ 11 ขวบ หลังจากแม่บังคับให้เรียนพิเศษเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ที่โรงเรียนตอน ม.1 ผมก็รู้ตัวมาตลอดว่าไอ้นี่แหล่ะคือสิ่งที่ผมอยากอยู่ด้วยทั้งชีวิต ผมเริ่มเรียนเวิร์ดจุฬาฯ, Lotus 1-2-3 บนเครื่อง 80286 เริ่มเรียนพิเศษเกี่ยวกับการเขียนโปรแกรม ไม่ว่าจะเป็น GWBasic , Pascal , C , Assembly ผมโชคดีที่มีแก๊งค์บ้าคอมฯ และอาจารย์ใจดีอยู่ในโรงเรียน ตั้งแต่นั้นมาเกือบทุกวันของชีวิต ผมจะต้องขอได้สัมผัสเจ้าคอมพิวเตอร์สักครั้งนิดๆ หน่อยๆ ก็ยังดี

แม้ผมจะเข้าเรียนมหาวิทยาลัยในสาขาสถิติประยุกต์ แต่ความฝันที่่จะเป็นโปรแกรมเมอร์มันไม่หายไปไหน ผมยังอ่านหนังสือคอมพิวเตอร์ อ่านนิตยสารอย่าง Micro computer , Micro user , Computer Today, @Dev มากกว่าอ่านหนังสือเรียนเสียอีก

ผมรู้ตัวตลอดว่าหากเรียนจบด้านสถิติฯ แบบนี้ผมคงหางานโปรแกรมเมอร์ยากแน่เลย เพราะจริงๆ แล้วหากจะเป็นโปรแกรมเมอร์ก็ควรได้เรียนวิชาพื้นฐานอย่าง Algorithm , File Processing , Database System, Compute Theory, System Analysis , Network & Data communication …. ยังไม่นับภาษาโปรแกรมต่างๆ ซึ่งแน่นอน ในสาขาที่ผมเรียนมันไม่มีเรื่องพวกนี้แน่ๆ ผมก็เลยจำเป็นที่จะต้องลงทะเบียนเรียนสาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ที่ ม.รามคำแหงควบคู่ไปด้วย และในระหว่าง 4 ปีที่ผมอยู่ในมหาวิทยาลัย ผมต้องมี Profile ที่ดีพอ ที่จะไปหางานแข่งกับคนที่เรียนจบมาทางด้านนี้โดยตรงได้ นั่นทำให้ผมต้องฟิตเขียนโปรแกรม เขียนเกมส์กระจอกๆ เล่นเอง ส่งงานประกวดบ้าง … และทำเกรดเพื่อให้ได้เกียรตินิยม … นั่นแหล่ะสิ่งที่ผมทำ …เพื่อสิ่งสิ่งเดียวคือ อาชีพโปรแกรมเมอร์ที่ผมรักนั่นแหล่ะ

ผมส่งเขียนใบสมัครยื่นไว้กับหลายบริษัท จน ปลา (นี่ชื่อเพื่อนคนแรกที่เอ่ยถึงในเรื่องนี้เลยนะเนี่ย) สะกิดบอกว่า อุ่น แกไปยื่นสมัครบริษัทนั้นสิ รับคนเขียนโปรแกรม COBOL อยู่ … ผมลังเล COBOL เนี่ยนะ แม้ผมเรียนมาบ้าง แต่มันดูไม่มีอนาคตเอาซะเลย เขาน่าจะเลิกๆ  ใช้ไปได้แล้วนะ โลกนี้มันมี ASP.NET ถือกำเนิดขึ้นมาแล้วนะ ให้กรูไปเขียน COBOL มันจะไปสนุกยังไงเนี่ย แต่นอกจากประเด็นเรื่อง COBOL แล้ว บริษัทนี้อยู่ที่ จ.ชลบุรี และอยู่ในอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนยานยนต์

เป๊ะ เลย นี่แหล่ะบริษัทที่ผมต้องการหล่ะ อยากอยู่ต่างจังหวัด อยากอยู่ใกล้ทะเล และอุตสาหกรรมยานยนต์เป็นอุตสาหกรรมที่เจริญรุ่งเรืองมากในยามเศรษฐกิจดีๆ ผมชักจะเห็นด้วยกับปลา ยื่นใบสมัครไว้ก็ไม่เสียหลายได้ไม่ได้ค่อยว่ากัน

ผมยื่นใบสมัคร พร้อมประวัติส่วนตัว มีการสัมภาษณ์นิดหน่อย คำถามที่จำได้คร่าวๆ คือ
“เขียน COBOL ได้ไหม?” …  ก็เรียนมาครับ ได้เกรด A ครับ
“เขียนโปรแกรมยากไหม” … ก็ไม่ยากครับ ขึ้นอยู่กับ Requirement และ Algorithm ที่เราเขียน
แล้วพี่คนสวยเขาก็ถามว่า “แล้วไอ้…อะไรทึ่มๆ นั่นเราเก่งไหม”  … ผมแทบจะฮาแตก … ก่อนจะบอกว่า โอ๊ย สบายครับ …

ไม่น่าเชื่อว่านี่ก็จะ 12 ปีแล้วพี่คนสวยคนนั้นยังอยู่ให้ผมอิงแอบซบไหล่ได้เสมอเลยนะ