ดองเล่มนี้มานานก็เอามาเล่าให้ฟังสักทีครับ
หนังสือเล่มนี้พูดถึงพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้องของพวกเราเวลาเอาไปลงทุนหรือใช้จ่ายในเรื่องต่างๆ อย่างในบทนำ Richards ก็เล่าให้ฟังว่าที่บ้านเขามีสกีอยู่ 4 คู่เพื่อให้พร้อมรับกับการไปเล่นสกีในทุกสถานการณ์แต่กลับกลายเป็นว่าเมื่อวันนึงเพื่อนเขาชวนไปเล่นสกีแบบปุบปับเขากลับลังเลอยู่นานว่า เอ…จะเลือกอันไหนดีที่จะเอาไปเล่นในครั้งนี้
เขาเลยคิดได้ว่าเห้ยจริงๆ แล้วการมีสกีเยอะๆ มันทำให้ชีวิตเขาลำบากขึ้นนะ เสียเวลานั่งคิดนั่งเลือกอยู่ตั้งนาน เขาก็เลยคิดว่าเลือกเก็บอันที่ดีที่สุดอันเดียวเลยดีกว่ามีอันที่ดีที่สุดอยู่ในทุกสถานการณ์แถมไม่เสียเวลาเลือกด้วย
หลักใหญ่ใจความคือ จริงๆ แล้วมันไม่มีแผนการณ์ใดหรอกครับที่มันพร้อมสำหรับทุกๆ สถานการณ์ เพราะฉะนั้นเลิกคิดจะทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ซะ และเตรียมตัวให้พร้อมรรับมือกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเองดีกว่า
ยกตัวอย่างเช่น เวลาที่เราเล่นหุ้น เราชอบที่จะเล่นหุ้นรายตัวเอกมากกว่าที่จะซื้อกองทุน เพราะเรามักจะคิดว่าเราเลือกหุ้นได้ดี เป็นหุ้นที่เรารู้จัก เราชอบ แต่จริงๆแล้ว นักลงทุนกว่าครึ่งในตลาดไม่รู้จังหวะเข้าหรือออกว่าควรจะเข้าซื้อเมื่อไหร่ออกเมื่อไหร่ ผิดกับกองทุนที่เมื่อวัดวิธีการตัดสินใจเข้าซื้อและขายหุ้นนั้นกองทุนทำได้ดีกว่า หรือเราชอบมองหาหุ้นที่เติบโตมหาศาลอย่าง Apple แต่สักกี่ปีมันจะมีไอ้นี่โผล่มาสักอันนึง เราก็หวังว่าเราจะเจออะไรพวกนั้นนั่นแหล่ะ
ที่น่าสนใจอันนึงคือ เราจะหาเงินเยอะๆ เพื่อสร้างความสุขให้ตัวเอง เรามักจะคิดว่ายิ่งเรามีเงินเยอะเราก็จะยิ่งมีความสุข แต่มันไม่ใช่อย่างนั้นเสมอไปหรอก มีงานวิจัยอันนึงที่บอกว่าเมื่อคุณมีรายได้ 75000USD/ปี รายได้ที่เพิ่มขึ้นหลังจากนี้จะไม่ส่งผลต่อความเพิ่มขึ้นของความสุขแต่อย่างใด
และเมื่อวัดความสุขกับองค์ประกอบอื่นๆ เช่น การเปรียบเทียบความสุขของเรา กับการไม่อยากให้น้อยหน้าคนอื่น
ยิ่งเรามีความทะเยอทะยานไม่อยากให้น้อยหน้าคนอื่นมากขึ้นเท่าไหร่ ระดับความสุขเราก็จะลงตามไป
หรือความสุขเทียบกับสิ่งของและประสบการณ์ที่ได้รับ เช่น เค้กเซอร์ไพรส์วันเกิด ซึ่งจริงๆ แล้ว เราจะพบว่าความสุขมันไม่ได้อยู่ที่เค้ก (เรากินมันหมดไปแล้ว) คุณค่าความสุขจริงๆ มันคือประสบการณ์ที่เราได้รับเค้กในวันนั้นต่างหาก
ดังนั้น ยิ่งเราทะเยอทะยานอยากจะหาเงิน ไขว่คว้าหาความสุขมากขึ้นเท่าไหร่ ความสุขเราก็จะลดลงตามไปมากเท่านั้น
อีกประเด็นที่ผมเห็น Richards พูดถึงในหลายๆ บทก็คือ เราชอบไปเชื่อผู้เชี่ยวชาญ ลงทุนตามผู้เชี่ยวชาญ ลงทุนตามคนอื่น ลงทุนด้วยสิ่งที่คนอื่นบอก …อย่าลืมว่าปัจจัยของคนแต่ละคนไม่เหมือนกัน คุณควรจะคิดเองว่าชีวิตคุณ คุณจะอยู่กับมันแบบไหน คุณรับความเสี่ยงต่างๆ ได้มากน้อยแค่ไหน รวมถึงการตัดสินใจ ก็ควรเลือกดีๆ ว่าอันไหนมันคือข้อเท็จจริง อันไหนมันคือความรู้สึก
โดยสรุปแล้วหนังสือเรื่องนี้ก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษสำหรับนักลงทุนที่ศึกษาทฤษฎี/และมีพฤติกรรมการลงทุนที่ดี แต่มันช่วยเตือนสติเม่าหลายๆ คนได้นะจ๊ะ