ผมชอบเล่นสวนสนุกมาก ยิ่งเป็นสวนสนุกระดับโลกนอกจากจะได้ผ่อนคลายจนลืมแก่แล้วก็ยังมีมุมให้ได้เก็บมาคิดเอามาวิเคราะห์เป็นอาหารสมองได้อีกทางหนึ่ง
เมื่อต้นเดือนผมไปญี่ปุ่นมาและตั้งใจจะเล่น Theme park ชื่อดังทั้ง 3 แห่งอย่าง Universal Studio ที่ Osaka และ Disney Land and Disney Sea ที่ Tokyo แต่เนื่องด้วยเวลาไม่อำนวยเลยได้ไปแค่ที่เดียวคือ Universal Studio นี่แหล่ะ วันที่ผมไปสวนสนุกเปิดให้เล่นตั้งแต่ตี 2 ยัน 3 ทุ่ม เล่นกันให้อ๊วกแตกกันไปข้างนึง
สิ่งที่ดูไม่น่าประทับใจเท่าไหร่นั่นคือปริมาณคิว (แถวคอย) ในการเล่นเครื่องเล่นแต่ละชิ้นนั้นนานและยาวมาก โดยเฉพาะ Theme ใหม่ที่เพิ่งเปิดคือ Harry Potter ซึ่งนอกจากจะต้องกดจองคิว (ผมจองตอนตี 5 ได้คิวประมาณเกือบเที่ยง) เพื่อเข้าไปในพื้นที่ส่วนนั้นแล้ว ยังมีการต่อคิวเพื่อเล่นเครื่องเล่นในปราสาท Hawkward ด้วย
ที่บอกว่าโหดมากนั้นก็คือ ผมใช้เวลารอคิวเพื่อเข้าปราสาทประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง!! คะเนความยาวของคิวที่คดเคี้ยวกันไปมานั้น ยาวกว่า 1 กิโลเมตร แน่ๆ
คนเยอะ คิวยาวถึงขนาดที่ทางสวนสนุกบอกว่า ถ้าจะเล่นเครื่องเล่นนี้ อาจจำเป็นต้องซื้อบัตร EXPRESS เสียตังค์ เพิ่มด้วย
ที่ USJ (Universal Studio Japan) การจัดการคิวของเครื่องเล่นแต่ละชิ้นไม่เหมือนกัน แต่โดยหลักๆ แล้ว จนท. จะแบ่งลูกค้าออกเป็น 3 กลุ่ม
- ลูกค้าที่มีบัตร Express Pass
- Single rider (พวกมาคนเดียว นั่งตรงไหน เล่นกับใครก็ได้)
- ลูกค้าทั่วไป (ซึ่งปกติจะมาเป็นกลุ่ม)
จนท. จะเป็นคนบริหารคิวเอง จากที่สังเกตุ กลุ่มที่เป็น Single rider จะได้เปรียบที่สุด เพราะคิวเฉพาะแถวนี้น้อยอยู่แล้วและคนที่อยู่ในแถว Single rider จะถูกให้บริการอย่างเร็วมากๆ เนื่องจาก จนท. จะต้องจัดคนเข้าไปเติมเก้าอี้เดี่ยวๆ ที่ว่าง เนื่องจากลูกค้า Express Pass และ ลูกค้าทั่วไป มักจะมาเป็นกลุ่มและอยากเล่นด้วยกัน พร้อมๆ กัน
ระหว่างยืนเซ็งในแถวคอย ก็นึกถึง Queing Theory ที่เคยเรียนผ่านหัวมาว่า
ใน Queuing Theory เราจะใช้สัญลักษณ์ เพื่ออธิบายระบบคิวที่เรากำลังศึกษาดังนี้
A / B / m / K / n / D
A : Distribution function ของเวลาการเข้ามาของลูกค้า
B : Distribution function ของเวลาการให้บริการ
m : จำนวนผู้ให้บริการ
K : capacity ของระบบ หรือ จำนวนผู้ใช้บริการสูงสุดในระบบ (รวมคนที่กำลังรับบริการอยู่ด้วย)
n : จำนวนประชากรของลูกค้า
D : รูปแบบการควบคุมการให้บริการ
และถ้า capacity ของระบบ จำนวนประชากรของลูกค้า และ รูปแบบการให้บริการเป็น FIFO ตรง / K / n / D ก็จะละไว้ได้
ยกตัวอย่างเช่น
M/M/1 ก็หมายความว่าเป็นระบบคิวที่ระยะเวลาการเข้ามาของลูกค้าก็มีการแจกแจงแบบ Exponential ระยะเวลาการให้บริการก็มีการแจกแจงแบบ Exponential และมีผู้ให้บริการ 1 คน
หรือยกตัวอย่างเครื่องเล่น Harry Potter ที่มี service rate คงที่ (ระยะเวลาการให้บริการที่แน่นอน) และนั่งได้ทีละ 3 คนพร้อมกัน ก็จะเป็น M/D/3
ว่าแล้วก็ตอนท้ายกลับมาวิชาการหน่อย
ที่จริงแล้วผมต้องใช้ Queuing Theory ในชีวิตการทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมเยอะมาก
- ระยะเวลาในการรอคอยของชิ้นงานประกอบในสายการการผลิต
- ระยะเวลาในการรอคอยการสแกนลายนิ้วมือ เข้า/ออกจากงาน
- ระยะเวลาในการรอคอยการออก label packing , box
ซึ่งตัวเลขทางสถิติเหล่านี้ จะทำให้เราตัดสินใจได้ว่า เราควรเพิ่มคน เพิ่มผู้ให้บริการไหม … ถ้าต้องเพิ่ม ควรเพิ่มเท่าไหร่
…. มันจะไม่ใช่ Magic number อีกต่อไป ….